ทักษะการโค้ชที่สำคัญในการโค้ช Talent ในองค์กร โดยศศิมา สุขสว่าง

เก๋ได้มีโอกาสได้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้บริหารขององค์กรรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับการพัฒนาพนักงานดีเด่น หรือ Talent ขององค์กรให้มี engagement กับองค์กร เนื่องจากในตอนนี้มีอัตราการลาออกสูงมาก  ซึ่งประเด็นหนึ่งของการลาออก คือ “ไม่สามารถทำงานกับหัวหน้าได้ “  เพราะคนเก่งๆรุ่นใหม่ๆ จบจากต่างประเทศ อายุยังน้อย เรียกว่าเป็น Generation Y หรือ Generation X ปลายๆ ไม่สามารถทำงานกับผู้บังคับบัญชารุ่นเก่าได้ เนื่องจากทัศนคติ ทักษะ ความสามารถ ความคิดที่แตกต่างกันมาก จนเกิดดปัญหาสมองไหล คนเก่งๆขององค์กรลาออกไปอยู่บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก  

 

ฝ่ายบริหารทรัพยากรบอกกับเก๋ว่า เหมือนให้ทุนการศึกษาส่งพนักงานไปเรียนต่อต่างประเทศ  เพื่อกลับมาป้อนให้กับภาคเอกชน แทนที่จะช่วยกันพัฒนาให้องค์กรให้เจริญก้าวหน้าและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  ฟังแล้วเหมือนตลกร้าย แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในหลายองค์กร นอกจากนี้ก็มีประเด็นเรื่องอัตราค่าตอบแทนที่สู้ภาคเอกชนไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุรองๆไป. .

 

 (หมายเหตุ : บทความนี้เป็นบทความของ www.sasimasuk.com ที่เป็นเวปไซต์แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ด้านการโค้ชและพี่เลี้ยงของอ.ศศิมา สุขสว่างค่ะ)

กลับมาถึงเรื่องหัวหน้า หากจะบริหารจัดการเด็กรุ่นใหม่ Generation Y หรือ Generation X ปลายๆ ได้ หรือต่อไป Gen Z กำลังจะมา  ทักษะหนึ่งที่เก๋แนะนำให้ใช้ในทำงานคือ “ทักษะการโค้ช” ค่ะ

 

ทำไมถึงต้องใช้ทักษะการโค้ช ทำไมหัวหน้าต้องเป็นโค้ช   ปรมาจารย์ด้าน Executive Coaching ชื่อ Marshall Goldsmith ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เป็นโค้ช และที่ปรึกษา และได้แต่งหนังสือด้านผู้นำออกมามากมาย ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “What got you here, won’t get you there” หมายความว่า “วิธีการในอดีตที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้ได้  อาจไม่ใช่วิธีการที่คุณจะนำไปใช้เพื่อสร้างความสำเร็จในอนาคต”

 

เก๋ขอขยายความเพิ่มเติมนะคะ ความหมายก็คือ วิธีการที่หัวหน้าได้ทำในอดีต จนประสบความสำเร็จ จนได้เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำในองค์กรปัจจุบัน อาจจะไม่สามารถใช้วิธีการแบบเดียวกันนี้ ในการสั่งการคนรุ่นใหม่ๆให้ทำในแบบเดียวกัน เพื่อให้ไปถึงอนาคตได้ เพราะในยุคนั้นอาจจะมีวิธีการ เทคโนโลยี ความรู้ known how ที่แตกต่างกันไป

 

แต่ในในยุค Thailand 4.0 ตอนนี้ รูปแบบการใช้ชีวิต เทคโนโลยี สังคม Social ทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทักษะการโค้ช จึงเหมาะกับการบริหารจัดการบุคคลากรหรือผู้ใต้บังคับบัญชานะคะ นอกจากนี้ยังสามารถในไปใช้ในบริบทอื่นได้อีก (อ่านบทความ "การโค้ชมีหลายประเภท อะไรบ้าง" กด ที่นี่)

 

แล้วผู้บริหารที่จะเป็นโค้ชได้  หรือใช้ทักษะโค้ชมาใช้ บริหารจัดการ เพื่อให้สามารถดึงศักยภาพผู้ใต้บังคับบัญชาให้ได้ประสิทธิภาพได้สูงสุดและทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น โดยไม่มีช่องว่าระหว่าง Generation จะต้องมีทักษะอะไรบ้าง  เก๋ได้เรียบเรียง "5 ทักษะการโค้ชที่สำคัญสำหรับผู้บริหาร" โดยเขียนในบริบทของการนำทักษะการโค้ชไปปรับใช้ในการบริหารจัดการผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้เห็นภาพใหญ่ๆ ก่อนจะลงในรายละเอียดต่อไป ในบทความต่อๆไปนะคะ

 

ทักษะการโค้ชที่สำคัญในการโค้ช Talent ในองค์กรสำหรับผู้บริหารหรือหัวหน้างาน

 

1. ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ (Rapport Building) 

การสร้างความสัมพันธ์เป็นกระบวนที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเป็นกระบวนการที่จะให้เกิดการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างคน 2 คน การสร้างความสัมพันธ์ ในทางการโค้ชนั้นมีเทคนิคมากมาย เช่น VAKAD model, Matching & Mirroring model, lotus model, Pace Pace lead  ฯลฯ จุดประสงค์ของการสร้างความสัมพันธ์ เพื่อ สร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้กับผู้ที่พูดคุยด้วย พร้อมเชื่อใจและเปิดใจให้ความร่วมมือในการโค้ช การคิด และให้ความร่วมมือในการโค้ช หรือการพูดคุยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพูดคุย

 

สำหรับในการบริหารจัดการนั้น หากหัวหน้า ลูกน้อง มีความแตกต่างกันทางความคิด พื้นเพ การศึกษา สไตล์การทำงาน เมื่อมาทำงานอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ ดังนั้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อเปิดใจ เพื่อให้สามารถประสานความสัมพันธ์จนทำงานได้อย่างราบรื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญค่ะ

 

2. ทักษะการฟัง

เป็นทักษะที่สำคัญมาก เพราะในกระบวนการโค้ชนั้น โค้ชจะใช้เวลาในการฟังถึง 80% (อีก 20 % สำหรับการถาม,feedback) การฟังแบบโค้ชจะแตกต่างจากการฟังแบบทั่วไป การฟังแบบทั่วไปจะได้ยินสิ่งที่แสดงออกมา สิ่งที่เขาต้องการให้รู้ในเนื้อหา (Content) แต่การฟังแบบโค้ช ต้องฟังให้ถึงความรู้สึก ความเชื่อ ความคิด สามารถจับประเด็นและได้ยินในสิ่งที่ผู้รับการโค้ชไม่ได้พูดและทวนออกมาได้ (Context) เหมือนกับเป็นกระจกสะท้อนผู้รับการโค้ชได้

 

3. ทักษะการถาม

การถามทำให้เกิดกระบวนการคิด ตรึกตรอง และค้นหาคำตอบ  สำหรับคนเจน Y นั้น ชอบคิด ค้นคว้าหาคำตอบ ดังนั้นการถามจึงเป็นการกระตุ้นความคิด เมื่อเกิดการฝึกฝนคิดบ่อยๆเข้าผู้ที่ถูกถามจะสามารถคิด  และแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง คำถามที่ดีควรเป็นคำถามปลายเปิด (Open Question) เพื่อให้ผู้ถูกถามได้แสดงความคิดเห็น  เช่น ถามว่า ในเรื่องนี้คุณคิดว่า ควรแก้ไขอย่างไรบ้าง? คำถามนี้สามารถดึงความคิดเห็นออกมาได้ แต่ถ้าเป็นคำถามปลายปิด (Close question) เช่น 

 

ตัวอย่างคำถามปลายปิด

หัวหน้า : ผมคิดว่าจากปัญหาที่เกิดขึ้นควรแก้ไขโดยวิธี…(ความคิดของหัวหน้า)…คุณเห็นด้วยหรือไม่ 

ลูกน้อง : (ตอบคำถามปลายปิด) “จะตอบอะไรได้ นอกจากว่า “เห็นด้วย” ทั้งที่ในใจอาจจะมีวิธีอื่นที่คิดว่าดีกว่า

ตัวอย่างคำถามปลายเปิด

หัวหน้า : จากปัญหาที่เกิดขึ้นควรแก้ไขโดย คุณคิดว่ามีวิธีการแก้ไขแก้ไขอย่างไรบ้าง? 

ลูกน้อง : ผม/ดิฉัน คิดว่า น่าจะแก้ไขดังนี้ค่ะ 1..., 2....3....

คำถามปลายเปิด คนเป็นหัวหน้า อาจจะได้คำตอบที่ให้วิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ นอกเหนือจากความรู้ความสามารถของตัวเองก็ได้ ลูกน้องก็จะได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองคิด และได้รับการยอมรับจากหัวหน้าด้วย 

 

4. ทักษะการให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback)

การให้ข้อมูลย้อนกลับหรือ feedback นั้น ไม่ใช่การด่า หรือบ่นแต่อย่างใด แต่เป็นการให้ข้อมูลกับผู้ปฏิบัติงานหรือลูกน้องให้มีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น  หลักการให้ข้อมูลย้อนกลับนั้น จะมีส่วนประกอบ ที่สำคัญ 3 ส่วนคือ

- ส่วนของพฤติกรรม,

- ส่วนของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และ

- ส่วนที่ต้องการให้เกิดการแก้ไขปรับปรุงหรือชื่นชม 

(เดี๋ยวเก๋จะเขียนลงในรายละเอียดต่อไปเรื่อยๆนะคะ)

 

5. ทักษะอื่นๆ  เช่น การเล่าเรื่อง (Story telling) การจูงใจ (Motivation) และการสื่อสาร (Communication) เป็นต้นค่ะ

 

พอได้ไอเดียแล้วนะคะ ว่าทักษะการโค้ชสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างานอย่างไรได้บ้าง 

 

อ.เก๋หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่สนใจเรื่องการโค้ชนะคะ

..................

 

สนใจหลักสูตร "ผู้นำในบทบาทของโค้ชและพี่เลี้ยงเพื่อประสิทธิภาพการทำงาน" วิทยากร อ.ศศิมา สุขสว่าง ดูรายละเอียด กดที่นี่ 


(ต้องการรายละเอียดหลักสูตรฉบับเต็ม พร้อม ใบเสนอราคา ขอกรุณาอีเมล์มาที่ sasimasuk.com@gmail.com อ.เก๋เช็คอีเมล์ทุกวันค่ะ)

...........................................

 

ศศิมา สุขสว่าง จบการศึกษาปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์จาก Dresden University of Technology (https://tu-dresden.de) ประเทศเยอรมนี  ทำงานด้าน  Research & Development Engineer มาโดยตลอด และเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ขององค์กรอิสระแห่งหนึ่ง  ได้รับการอบรมด้านโค้ชทั้ง Mindfulness Coaching, Life Coach , Talent Coach และ NLP Coaching จากสถาบันสอนการโค้ชที่ได้รับการรับรองระดับสากล ปัจจุบันศศิมาเป็น วิทยากร ที่ปรึกษา และ Innovation Coach ที่มีความสุขและมุ่งมั่นที่แบ่งปันเรื่องพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างคุณค่าให้ผู้คน โดยยึดหลัก 3Fs - Fun (สนุก) -Full (เต็มไปด้วยสาระ) - Friend (มิตรภาพการทำงานเป็น Team Work)

...........................................

ติดตามข่าว เรื่องความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และนวัตกรรม หรือติดต่อวิทยากรอบรม In-House training หลักสูตรความคิดสร้างสรรค์  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม (Product Development and Innovation) ได้ที่

ศศิมา สุขสว่าง (เก๋)

E-mail : sasimasuk.com@gmail.com

Website : www.sasimasuk.com

line ID : sasimasuk.com 

Facebook : https://www.facebook.com/CreativetoInnovation

Tel. : 081-560-9994 

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

หรือส่งข้อมูลมาทาง sasimasuk.com@gmail.com ทางเราจะติดต่อกลับภายใน 1 วันค่ะ
Visitors: 328,372