มองปัญหาเป็นโอกาส สร้างนวัตกรรมให้โดนใจลูกค้า โดย อ.ศศิมา สุขสว่าง -เก๋

 

 

บทความนี้ อ.เก๋อยากมาแบ่งปัน เรื่องของการมองปัญหาเป็นโอกาสค่ะ  เพราะมีโอกาสได้ไปเจอคนทำงานหลายคนที่อ.เก๋ได้ไปเป็นโค้ชและ พี่เลี้ยงให้ทั้งในโครงการ Talent Development Program และ การสัมมนาหลักสูตรต่างๆ เช่น หลักสูตร Growth Mindset for Performance working หรือหลักสูตรทักษะการคิดสำหรับคนทำงาน ต่างๆ  จะได้ฟังปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้น ซึ่งหลายครั้งก็สามารถหาวิธีการแก้ไขได้ แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น หลายคนก็รู้สึก fail ท้อถอย หรือ burn out กับการทำงาน เลยมาเป็นบทความนี้ค่ะ 

 

ต้องบอกก่อนนะคะ ก่อนที่อ.เก๋จะมาเป็นวิทยากรที่ปรึกษา และโค้ช เก๋ก็ทำงานเป็นพนักงานเงินเดือนมากว่า 15 ปีเช่น กัน ทั้งทำงานเป็น R&D Engineer ในโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่ง  ทั้งเป็น Innovation Manager ในศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงเข้าใจปัญหาหนักอกหนักใจของคนทำงานประจำทั้งปัญหาเรื่องงาน และเรื่องคนค่ะ

 

การมองปัญหาเป็นโอกาสเป็นทักษะสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม เพราะนวัตกรรมส่วนใหญ่ เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา และสร้างคุณค่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการมองปัญหาเป็นโอกาสนั้น  จะมีหลักการดังนี้

 

 

หลักการการมองปัญหาเป็นโอกาส

1.Curious Mindมองปัญหาด้วยความอยากรู้- แทนที่จะรู้สึกท้อแท้ ให้ตั้งคำถามว่า "ทำไมปัญหานี้เกิดขึ้น?" และ "มีวิธีแก้ไขอย่างไร?"  

2.Shift Perspective – เปลี่ยนมุมมอง- มองปัญหาจากหลายมุม และคิดนอกกรอบ
3.Uncover Needs – มองหาความต้องการที่ซ่อนอยู่- ปัญหามักแสดงถึงความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง

 

ขยายความเพิ่มเติม แนวทางการฝึกมองปัญหาให้เป็นโอกาส 

 

- ตั้งคำถามให้มากขึ้น → ถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนี้?” หรือ “ถ้าทำแบบอื่นได้ไหม?”  หรือ ฝึกตั้งคำถาม "จะเป็นอย่างไรถ้า..."เช่น "จะเป็นอย่างไรถ้าเราทำในทางตรงกันข้าม?" หรือ "จะเป็นอย่างไรถ้าเราแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ไม่เคยมีใครทำ?"

- เปลี่ยนมุมมอง → แทนที่จะมองว่า “ปัญหา” เป็นอุปสรรค ลองมองว่าเป็น “โอกาสที่ซ่อนอยู่”

- เรียนรู้จากลูกค้าและตลาด → ดูว่าคนมีปัญหาอะไร และเราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร เข้าใจความต้องการ ความคับข้องใจ และสิ่งที่ผู้ใช้หวังจะได้รับในชีวิตประจำวัน

- ทดสอบไอเดียเร็วๆ → อย่ารอให้สมบูรณ์แบบ ทดลองทำต้นแบบเร็ว (Rapid Prototyping) สร้างต้นแบบอย่างรวดเร็วเพื่อทดสอบความคิดกับผู้ใช้จริงแล้วปรับปรุงไปเรื่อยๆ

-  ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ → AI, Technology ต่างๆ , Big Data อาจช่วยแก้ปัญหาที่เคยมองว่ายากได้

 

ที่นี่หลายคนที่เก๋เจอ มักจะถามเก๋ว่า มีโมเดล หรือ framework วิธีการจำได้บ้างไหม เลย ไปค้นคว้ามาค่ะว่า มีโมเดลอะไรบ้างในการช่วนให้การมองปัญหาเป็นโอกาสได้ก็เลยมาแบ่งปันตามนี้ค่ะ

 

 

โมเดลง่ายๆ สำหรับการมองปัญหาเป็นโอกาส

1. โมเดล REFRAME (การปรับกรอบความคิด)

  • Recognize (รับรู้): ระบุปัญหาให้ชัดเจน
  • Examine (ตรวจสอบ): วิเคราะห์ว่าทำไมเป็นปัญหา และใครได้รับผลกระทบ
  • Flip (พลิกมุมมอง): มองในมุมตรงข้าม "ถ้าสิ่งนี้เป็นโอกาส จะเป็นโอกาสอย่างไร?"
  • Redefine (นิยามใหม่): ปรับเปลี่ยนคำถามจาก "อะไรเป็นปัญหา?" เป็น "อะไรคือความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง?"
  • Alternatives (ทางเลือก): คิดทางเลือกหลากหลายในการตอบสนองความต้องการนั้น
  • Maximize (ขยายผล): เลือกไอเดียที่มีศักยภาพและต่อยอด
  • Execute (ลงมือทำ): ทดลองไอเดียในรูปแบบต้นแบบ
  •  

2. โมเดล SCORE (คะแนน)

  • Symptom (อาการ): ระบุอาการของปัญหาที่เห็นได้ชัด
  • Cause (สาเหตุ): ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลังอาการนั้น
  • Opportunity (โอกาส): มองว่าการแก้ไขสาเหตุนั้นสร้างโอกาสอะไรได้บ้าง
  • Resources (ทรัพยากร): ระบุทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อใช้ในการสร้างโอกาส
  • Effect (ผลลัพธ์): จินตนาการถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อปัญหาถูกเปลี่ยนเป็นโอกาส
  •  

3. โมเดล WHY-HOW-WHAT (ทำไม-อย่างไร-อะไร)

  • WHY (ทำไม): ทำไมปัญหานี้ถึงสำคัญ? ทำไมผู้คนถึงต้องการแก้ไข?
  • HOW (อย่างไร): เราจะแก้ไขหรือตอบสนองความต้องการนี้อย่างไร?
  • WHAT (อะไร): อะไรคือนวัตกรรมหรือโซลูชั่นที่เราจะสร้าง?

 

4.โมเดล Design Thinking

- Empathize (เข้าใจผู้ใช้) → เก็บข้อมูล หรือสัมภาษณ์คนที่มีปัญหาจริง

- Define (ระบุปัญหา) → สรุปว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง

- Ideate (ระดมไอเดียใหม่ๆ) → คิดหาวิธีแก้ปัญหาหลายๆ แบบ

- Prototype (สร้างต้นแบบ) → ทดลองทำจริง

- Test (ทดสอบและปรับปรุง) → นำไปลองใช้แล้วเก็บ feedback

 

การฝึกฝนการมองปัญหาให้เป็นโอกาสในชีวิตประจำวัน

 

1.ฝึกเขียนบันทึกปัญหาประจำวัน

    • จดบันทึกปัญหาที่พบในชีวิตประจำวัน 3-5 อย่าง
    • หลังจากนั้น ลองเขียนว่าแต่ละปัญหาสามารถมองเป็นโอกาสได้อย่างไร
    • ทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อฝึกสมองให้มองหาโอกาสโดยอัตโนมัติ

 

2.ฝึกการตั้งคำถามใหม่

    • แทนที่จะถามว่า "ทำไมเราถึงมีปัญหานี้?"
    • ให้ถามว่า "ปัญหานี้เปิดโอกาสให้เราทำอะไรได้บ้าง?"
    • หรือ "ปัญหานี้กำลังสอนอะไรเรา?"

 

3.สังเกตนวัตกรรมรอบตัว

    • ศึกษาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
    • ตั้งคำถามว่า "ผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมนี้แก้ปัญหาอะไร?"
    • "โอกาสอะไรที่ผู้สร้างนวัตกรรมนี้เห็น?"

 

4.เทคนิค "5 ทำไม"

    • เมื่อพบปัญหา ให้ถาม "ทำไม" 5 ครั้งติดต่อกัน เพื่อขุดลึกไปถึงรากของปัญหา
    • จากนั้นถามว่า "อะไรคือโอกาสที่ซ่อนอยู่ในรากของปัญหานี้?"

 

5.ทำ "หมวก 6 ใบ" ของ Edward de Bono

    • มองปัญหาผ่านมุมมองที่แตกต่าง 6 แบบ (ข้อเท็จจริง, ความรู้สึก, ข้อดี, ข้อเสีย, ความคิดสร้างสรรค์, และกระบวนการคิด)
    • ช่วยให้มองเห็นมิติต่างๆ ของปัญหาและโอกาสที่ซ่อนอยู่

 

6.ฝึกคิดแบบ "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า..."

    • เลือกปัญหาหนึ่งอย่าง และตั้งคำถาม 10 คำถามที่ขึ้นต้นด้วย "จะเป็นอย่างไรถ้า..."
    • เช่น "จะเป็นอย่างไรถ้าเราทำตรงกันข้าม?" "จะเป็นอย่างไรถ้าเรามีทรัพยากรไม่จำกัด?"

 

7.การประชุมระดมสมองแบบกลับด้าน 

    • แทนที่จะถามว่า "เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?"
    • ให้ถามว่า "เราจะทำให้ปัญหานี้แย่ลงได้อย่างไร?"
    • จากนั้นพิจารณาว่าจะทำตรงกันข้ามได้อย่างไร

 

8.ฝึกสร้างต้นแบบไอเดียอย่างง่าย

    • เมื่อคิดไอเดียได้แล้ว ลองสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็วด้วยวัสดุที่มีอยู่
    • ทำให้ความคิดเป็นรูปธรรมเพื่อทดสอบและพัฒนาต่อ

 

 

ทั้งหมดนี้คือโมเดลและแนวทางง่ายๆ ที่เราสามารถเริ่มฝึกได้ทันที การฝึกมองปัญหาเป็นโอกาสเป็นทักษะที่พัฒนาได้ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งฝึกมาก ทักษะนี้จะยิ่งกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ

 

อ.เก๋มีกรณีศึกษา ในการฝึกมองปัญหาให้เป็นโอกาสแล้วออกมาเป็นแนวคิดใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ในช่วงเวลาที่พัฒนานั้นเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ลองอ่านดูนะคะ

 

กรณีศึกษาการฝึกมองปัญหาให้เป็นโอกาส เพื่อพัฒนานวัตกรรม

 

1. กรณีศึกษา: 3M Post-it Notes

ปัญหา:นักวิทยาศาสตร์ของ 3M ค้นพบกาวที่ติดไม่แน่นพอจะใช้ในงานอุตสาหกรรม ถือว่าเป็น “ของเสีย” และไม่น่าจะมีประโยชน์


โอกาส:เมื่อทีมงานมองในมุมใหม่ พวกเขาพบว่ากาวชนิดนี้สามารถนำไปใช้กับกระดาษที่สามารถติดและลอกออกได้ง่าย จึงพัฒนาเป็น “Post-it Notes” ที่กลายเป็นสินค้ายอดนิยมระดับโลก

 

2. กรณีศึกษา: การปลูกผักไร้ดินในทะเลทราย (UAE - Hydroponic Farming)

ปัญหา:ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ดินทรายทำให้การทำเกษตรกรรมเป็นไปได้ยาก ต้องนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ


โอกาส:นักวิจัยและเกษตรกรร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี “ไฮโดรโปนิกส์” หรือ “การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน” ใช้น้ำหมุนเวียนและพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถปลูกพืชในทะเลทรายได้ ปัจจุบัน UAE มีฟาร์มในอาคารสูงและฟาร์มแนวตั้ง (Vertical Farming) ช่วยลดการนำเข้าอาหารและได้ผลผลิตสูง

 

3. กรณีศึกษา: Netflix

ปัญหา:ในอดีต ร้านเช่าวิดีโอ (เช่น Blockbuster) มีค่าปรับเมื่อลูกค้าคืนแผ่น DVD ล่าช้า ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ


โอกาส: Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix คิดว่า “ถ้ามีบริการเช่าภาพยนตร์ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าปรับล่ะ?” จึงเกิดแนวคิดให้เช่าภาพยนตร์ผ่านระบบสมัครสมาชิกและส่งทางไปรษณีย์ ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตพัฒนาขึ้น Netflix ก็เปลี่ยนโมเดลเป็นสตรีมมิ่ง จนกลายเป็นแพลตฟอร์มระดับโลก

 

4. กรณีศึกษา: ร้านอาหารที่ไม่มีที่นั่ง (Cloud Kitchen)

ปัญหา:ร้านอาหารหลายแห่งในเมืองใหญ่มีค่าเช่าที่แพงมาก แต่ลูกค้าสั่งผ่านแอปเดลิเวอรีเพิ่มขึ้น


โอกาส:ธุรกิจ “Cloud Kitchen” หรือ “ครัวกลาง” ที่ไม่มีหน้าร้านเกิดขึ้น เจ้าของร้านอาหารสามารถเช่าพื้นที่ในครัวกลางเพื่อทำอาหารสำหรับเดลิเวอรีโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าหน้าร้านสูงๆ ปัจจุบันธุรกิจ Cloud Kitchen เติบโตอย่างมากในเมืองใหญ่ทั่วโลก

 

เก๋หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และช่วยให้หลายๆท่านได้แนวทางไปมองปัญหาด้วยเลนส์ใหม่ๆนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามกันมานะคะ

 

...................................................................................

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

เข้าใจความหมาย และองค์ประกอบของนวัตกรรม ด้วย VIN model for Innovation อ่านต่อที่นี่  หรือกดที่รูป VIN model ด้านล่างนี้ 

 

 

..........................................

อ่านเทคนิคคิดสร้างสรรค์ ปั้นนวัตกรรมวิธีอื่นๆ กดที่นี่ค่ะ 

.....................................

Creative to Innovation เป็นพื้นที่แบ่งปันและแลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องกระบวนการและเทคนิคการคิดสร้างสรรค์และการพัฒนานวัตกรรม  โดยถ่ายทอดจากประสบการณ์การทำงานด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ให้คำปรึกษา การสอนด้านการพัฒนานวัตกรรมของผู้เขียน (ศศิมา) ซึ่งเป็นนักพัฒนานวัตกรรมหรือนวัตกร (Innovator)  และผันตัวมาแบ่งปัน อบรมสัมมนาให้คำปรึกษาด้านการพัฒนานวัตกรรม  โดยการอบรมสัมมนาจะยึดหลัก 3Fs - Fun (สนุก) -Full (เต็มไปด้วยสาระ) - Friend (มิตรภาพการทำงานเป็น Team Work)

.................................

ศศิมา สุขสว่าง จบการศึกษาปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์จาก Dresden University of Technology (https://tu-dresden.de) ประเทศเยอรมนี  ทำงานด้าน  Research & Development Engineer มาโดยตลอด และเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ขององค์กรอิสระแห่งหนึ่ง  และได้รับการอบรมด้านโค้ชทั้ง Mindfulness Coaching, Life Coach , Talent Coach และ NLP Coaching จากสถาบันสอนการโค้ชที่ได้รับการรับรองระดับสากล ปัจจุบันศศิมาเป็น วิทยากร ที่ปรึกษา และ Innovation Coach ที่มีความสุขและมุ่งมั่นที่แบ่งปันเรื่องพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างคุณค่าให้ผู้คน 

...........................................

ติดตามข่าว เรื่องความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และนวัตกรรม หรือติดต่อวิทยากรอบรม In-House training หลักสูตรความคิดสร้างสรรค์  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม (Product Development and Innovation) ได้ที่

ศศิมา สุขสว่าง (เก๋)

E-mail : sasimasuk.com@gmail.com

Website : www.sasimasuk.com

line ID : sasimasuk.com 

Facebook : https://www.facebook.com/CreativetoInnovation

Tel. : 081-560-9994 

 

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

หรือส่งข้อมูลมาทาง sasimasuk.com@gmail.com ทางเราจะติดต่อกลับภายใน 1 วันค่ะ
Visitors: 385,998