Critical Thinking for Decision Making ทักษะการวิพากษ์เพื่อแก้ปัญหาและตัดสินใจ โดย อ.ศศิมา สุขสว่าง
สวัสดีค่ะทุกคน บทความนี้อาจารย์เก๋ -ศศิมา สุขสว่าง มาแลกเปลี่ยนแบ่งปันทักษะที่สำคัญอีกทักษะหนึ่งที่ช่วยให้เราทำงานและตัดสินใจได้ดีขึ้น นั่นก็คือ "Critical Thinking" หรือการคิดเชิงวิพากษ์ บางคนอาจเรียกว่า "การคิดอย่างมีเหตุผล" หรือ "การคิดอย่างมีวิจารณญาณ" ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยให้เราแก้ไขปัญหา และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
Critical Thinking คืออะไร?
ถ้าแปลตรงตัวในภาษาไทย ก็คือการคิดเชิงวิพากษ์ แต่ก็ยากอีก ต้องแปลอีก อ.เก๋แปลง่ายๆ Critical thinking ก็คือ การคิดอย่างมีระบบ วิเคราะห์ แยกแยะ และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ หรือพูดอีกแบบคือไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่ใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และเหตุผลในการพิจารณาปัญหา ถ้าเราใช้ Critical Thinking ได้ดี เราจะสามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้นมองได้หลายมุมมากขึ้น
ทำไม Critical Thinking ถึงสำคัญกับการทำงาน?
- ลดความเสี่ยงจากอคติหรือข้อมูลผิดพลาด – การคิดอย่างเป็นระบบช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดเพราะใช้อารมณ์ หรือเพราะฟังความข้างเดียว หรือจากอคติในใจเราได้
- ทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น – ไม่ใช่แค่เลือกทางที่ดูดี แต่เลือกทางที่ดีที่สุดจากข้อมูลที่เรามี ณ ตอนนั้น
- ช่วยพัฒนาไอเดียใหม่ๆ – การคิดเชิงวิพากษ์ช่วยให้เราสามารถตั้งคำถามและหาแนวทางใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาได้
- ทำให้เราสามารถสื่อสารได้ดีขึ้น – เพราะเรามีเหตุผลและหลักฐานมาสนับสนุนความคิดเห็นของเรา
- ช่วยให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น – เมื่อเราคิดอย่างมีเหตุผล เราจะเข้าใจมุมมองของคนอื่น มองหลากหลายมุมมอง ไม่ได้มองจากมุมมองของเราเพียงอย่างเดียว ทำให้เข้าใจทีมงานและทำงานเป็นทีมได้ดีขึ้น
- การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น - เพราะมีการหาสาเหตุจากหลายหลายมุมมองและหลายด้าน ทำให้การแก้ปัญหาครอบคลุมได้ดี
แนวทางการพัฒนา Critical Thinking ในการแก้ปัญหา
- ตั้งคำถามให้ถูกต้อง – เวลาที่เกิดปัญหาอะไร ก่อนที่จะลงไปที่วิธีการแก้ไขปัญหาเลย ลองถอยออกมา แล้วตั้งคำถามก่อน อาจจะใช้วิธีการตั้งคำถามง่ายๆด้วย 5 W1H ก็ได้ เช่น ว่า "ปัญหาจริงๆ คืออะไร?" "อะไรเป็นสาเหตุของปัญหา?" "มีข้อมูลอะไรบ้างที่เรายังไม่รู้?"
- แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น– บางครั้งในปัญหาที่เกิดขึ้น อาจจะมีผู้ให้ความคิดเห็นหลายฝ่าย แต่เราต้องฝึกแยกแยะ ความคิดเห็น (opinion) และ ข้อเท็จจริง (Fact) แล้วจึงพิจารณาตามเหตุผล
- พิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ – อย่ารีบสรุป ลองคิดว่ามีวิธีไหนอีกบ้างที่สามารถแก้ปัญหาได้
- ใช้หลักฐานสนับสนุนการตัดสินใจ – ไม่ใช่แค่ "คิดว่า" หรือ "รู้สึกว่า" แต่ต้องมีข้อมูล สถิติ การทดลอง หรือเหตุผลมาประกอบ
- เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง – บางครั้งคนอื่นอาจมีมุมมองที่เราไม่เคยนึกถึง การเปิดใจรับฟังช่วยให้เราเห็นปัญหาในมุมกว้างขึ้น อย่ามีอคติ Bias กับความคิดเห็นที่ไม่ตรงใจเรา
- ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์อยู่เสมอ – ลองอ่านข่าว วิเคราะห์ปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่การดูหนังแล้วลองคิดว่าถ้าเป็นเราจะตัดสินใจยังไง หรือเวลามีเหตุการณ์อะไรใน Social แล้วลองอ่านคอมเมนท์ต่างๆเพื่อพิจารณาความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านั้น แล้วเปรียบเทียบกับมุมมองของเรา
โมเดลที่ช่วยพัฒนา Critical Thinking
เก๋ลองรวบรวม โมเดลที่พอจะเป็นกรอบสำหรับท่านที่อยากได้ Framework สำหรับจำง่ายๆว่าถ้าจะคิดวิพากษ์ในการทำงานจะต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง มา 3 โมเดล สะดวกจำอันไหนไปใช้กัน ลองเก็บไปสัก อันนะคะ
1. IDEAL Model
- Identify (ระบุปัญหา) – กำหนดปัญหาที่ต้องการแก้ไขอย่างชัดเจน
- Define (กำหนดบริบท) – ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและแยกแยะข้อเท็จจริง
- Explore (สำรวจทางเลือก) – พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาหลายๆ ทาง
- Act (ลงมือแก้ปัญหา) – เลือกทางที่ดีที่สุดแล้วดำเนินการ
- Look (ทบทวนผลลัพธ์) – ประเมินผลลัพธ์และนำไปปรับปรุงในอนาคต
2. PDCA Model
- Plan (วางแผน) – กำหนดปัญหาและวางแผนแก้ไข
- Do (ลงมือทำ) – ดำเนินการตามแผน
- Check (ตรวจสอบ) – ประเมินผลลัพธ์ที่ได้
- Act (ปรับปรุง) – นำผลที่ได้มาปรับปรุงกระบวนการ
3.STAR Model
- Situation (สถานการณ์) – ระบุปัญหาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- Task (ภารกิจ) – ระบุว่าต้องทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหา
- Action (การกระทำ) – ดำเนินการแก้ไขปัญหา
- Result (ผลลัพธ์) – สรุปผลและวิเคราะห์การปรับปรุง
กรณีศึกษา
อาจารย์เก๋ เล่าตัวอย่างต่างๆเหล่านี้เป็นกรณีศึกษาเพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการ และวิธีคิดของการนำทักษะการคิดวิพากษ์ไปใช้ในการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยภาพรวมนะคะ ซึ่งแต่ละตัวอย่าง อาจจะต้องนำไปศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้งค่ะ จึงต้องขออนุญาตแจ้งไว้ก่อนค่ะ
ตัวอย่างที่ 1
สถานการณ์: “ในที่ทำงานของเราเกิดปัญหาสินค้าล่าช้า ลูกค้าไม่พอใจและตำหนิว่าเป็นความผิดของฝ่ายผลิต ทีนี้จะใช้ Critical Thinking อย่างไร?
แนวทางแก้ไข:
1.ระบุปัญหาและรวบรวมข้อมูล:
- ทำความเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน: สินค้าล่าช้ามากน้อยเพียงใด เกิดขึ้นกับสินค้าประเภทใดบ้าง และส่งผลกระทบต่อลูกค้ากลุ่มใด
- รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ: จำนวนสินค้าที่ล่าช้า ระยะเวลาที่ล่าช้า ความถี่ของปัญหา จำนวนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ
- เก็บข้อมูลจากหลายแหล่ง: ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดส่ง ฝ่ายขาย ฝ่ายคลังสินค้า และข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง
- ตรวจสอบกระบวนการทำงานทั้งระบบ: ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อไปจนถึงการส่งมอบสินค้า
2.วิเคราะห์สาเหตุอย่างเป็นระบบ:
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริง เช่น แผนภูมิก้างปลา (Fishbone Diagram) หรือ 5 Whys Analysis
- ตรวจสอบระบบการผลิต: กำลังการผลิต ประสิทธิภาพเครื่องจักร การบริหารวัตถุดิบ และการวางแผนการผลิต
- วิเคราะห์ปัจจัยภายนอก: ปัญหาจากซัพพลายเออร์ การขนส่ง สภาพอากาศ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ
- พิจารณาปัญหาเชิงโครงสร้าง: การสื่อสารระหว่างแผนก การประสานงาน หรือการกำหนดความรับผิดชอบที่ไม่ชัดเจน
3.พิจารณามุมมองรอบด้านและผลกระทบ:
- รับฟังมุมมองจากฝ่ายผลิต: ปัญหาและข้อจำกัดที่กำลังเกิดขึ้น
- เข้าใจมุมมองของลูกค้า: ความคาดหวัง ความเสียหายที่ได้รับ และผลกระทบต่อธุรกิจของลูกค้า
- ประเมินผลกระทบต่อธุรกิจ: ทั้งระยะสั้น (การสูญเสียรายได้) และระยะยาว (ความเชื่อมั่นของลูกค้า ชื่อเสียงองค์กร)
- พิจารณาผลกระทบต่อทีมงาน: ความเครียด แรงกดดัน หรือปัญหาขวัญกำลังใจที่อาจเกิดขึ้น
4.พัฒนาทางแก้ไขให้รอบด้าน:
- กำหนดมาตรการแก้ไขระยะสั้น: เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตชั่วคราว การจัดลำดับความสำคัญของคำสั่งซื้อ
- พัฒนาแนวทางแก้ไขระยะยาว: ปรับปรุงกระบวนการผลิต พัฒนาระบบการวางแผน ปรับปรุงการพยากรณ์ความต้องการ
- วางแผนการสื่อสารกับลูกค้า: การแจ้งความคืบหน้า การชดเชยความเสียหาย และการสร้างความเชื่อมั่น
- ปรับปรุงการประสานงานระหว่างแผนก: สร้างช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ กำหนดตัวชี้วัดร่วมกัน
5.ดำเนินการแก้ไขและติดตามผล:
- นำแผนการแก้ไขไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบ: กำหนดผู้รับผิดชอบ กรอบเวลา และทรัพยากรที่จำเป็น
- ติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ: กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น อัตราการส่งมอบตรงเวลา (On-time Delivery Rate)
- สร้างระบบเตือนล่วงหน้า: เพื่อตรวจจับปัญหาก่อนจะส่งผลกระทบต่อลูกค้า
- พัฒนาเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐาน: นำบทเรียนที่ได้มาพัฒนาเป็นกระบวนการมาตรฐานเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
- ประเมินความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง: เพื่อให้มั่นใจว่าการแก้ไขเกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
ผลลัพธ์:ถ้าใช้ Critical Thinking ในการวิเคราะห์ปัญหา แทนที่จะโทษกันไปมา เราจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีเหตุผลและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้
ตัวอย่างที่ 2
สถานการณ์:"บริษัทกำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่หรือไม่ แต่มีข้อกังวลเรื่องต้นทุนและผลตอบแทน" ถ้าเราใช้ Critical thinking ในการพิจารณาสถานการณ์นี้ จะมีกระบวนการพิจารณาอย่างไร
การใช้ Critical thinking ในการพิจารณาการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่มีกระบวนการดังนี้:
1.ระบุปัญหาและรวบรวมข้อมูล:
- ทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าบริษัทต้องการลงทุนในเทคโนโลยีใดและเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
- รวบรวมข้อมูลต้นทุนทั้งหมด: ราคาซื้อ ค่าติดตั้ง ค่าฝึกอบรม ค่าบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ
- รวบรวมข้อมูลผลตอบแทนที่คาดหวัง: การเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน การเพิ่มรายได้ การเข้าถึงตลาดใหม่
- ศึกษากรณีตัวอย่างจากบริษัทอื่นที่เคยลงทุนในเทคโนโลยีคล้ายกัน
2.วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและความเสี่ยง:
- คำนวณ ROI (Return on Investment) และระยะเวลาคืนทุน (Payback Period)
- ประเมิน NPV (Net Present Value) และ IRR (Internal Rate of Return)
- วิเคราะห์ความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก: ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี การยอมรับของผู้ใช้ การล้าสมัยของเทคโนโลยี
- พิจารณาต้นทุนค่าเสียโอกาส: จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่ลงทุนในเทคโนโลยีนี้
3.พิจารณาทางเลือกและความสอดคล้องกับกลยุทธ์:
- ระบุทางเลือกอื่นนอกจากการลงทุนเต็มรูปแบบ: เช่น การเช่า การจ้างบริการภายนอก การลงทุนทีละส่วน
- ประเมินความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัท
- พิจารณาผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กรและกระบวนการทำงาน
- วิเคราะห์ว่าเทคโนโลยีนี้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันหรือไม่
4.ตรวจสอบอคติและสมมติฐาน:
- ระบุอคติที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจ: เช่น การยึดติดกับเทคโนโลยีล่าสุด ความกลัวที่จะตกขบวน
- ตรวจสอบสมมติฐานเกี่ยวกับอัตราการเติบโต การใช้งาน และปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้ในการคำนวณ
- ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity Analysis): ทดสอบว่าการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆ จะส่งผลต่อผลลัพธ์อย่างไร
- ขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเพื่อลดอคติ
5.ตัดสินใจและวางแผนดำเนินการ:
- ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลและการวิเคราะห์ทั้งหมด
- กำหนดแผนการดำเนินงานอย่างละเอียด: ระยะเวลา งบประมาณ ทรัพยากรที่ต้องใช้
- กำหนด KPI ที่ชัดเจนสำหรับวัดความสำเร็จของการลงทุน
- สร้างแผนบริหารความเสี่ยงและแผนสำรองหากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- วางแผนการติดตามและประเมินผลเป็นระยะ เพื่อปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที
ตัวอย่างที่ 3
สถานการณ์: "พนักงานในทีมเกิดความขัดแย้งกันเรื่องการแบ่งงาน คนหนึ่งรู้สึกว่าเขาทำงานหนักกว่าคนอื่น"
การใช้ Critical thinking ในการพิจารณาสถานการณ์ความขัดแย้งเรื่องการแบ่งงานมีกระบวนการดังนี้:
1.ระบุปัญหาและรวบรวมข้อมูล:
- ทำความเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน: ความขัดแย้งเกิดจากการที่พนักงานรู้สึกว่าทำงานหนักกว่าคนอื่นใช่หรือไม่
- รวบรวมข้อมูลปริมาณงานจริงของแต่ละคน: จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน จำนวนโครงการที่รับผิดชอบ ปริมาณงานที่ส่งมอบ
- ประเมินความซับซ้อนของงานแต่ละประเภท: งานที่เหมือนกันในปริมาณเท่ากันอาจมีความยากง่ายต่างกัน
- ตรวจสอบกระบวนการแบ่งงานปัจจุบัน: มีความชัดเจนและเป็นระบบหรือไม่
2.แยกข้อเท็จจริงออกจากการรับรู้:
- ตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์: ใช้ข้อมูลจากระบบติดตามงาน ตารางเวลา หรือรายงานความคืบหน้า
- วิเคราะห์ช่องว่างระหว่างความรู้สึกกับข้อเท็จจริง: บางครั้งงานที่ยากอาจรู้สึกว่าหนักกว่าที่เป็นจริง
- พิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้: ความเครียด ประสบการณ์ ทักษะ หรือความชำนาญ
- ระบุสาเหตุที่แท้จริง: อาจเป็นปัญหาการสื่อสาร การขาดความชัดเจนในบทบาท หรือความแตกต่างในทักษะ
3.พิจารณามุมมองรอบด้าน:
- จัดการประชุมแบบตัวต่อตัวกับพนักงานที่มีความรู้สึกไม่พอใจ: ฟังปัญหาอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสิน
- สัมภาษณ์สมาชิกคนอื่นในทีม: เข้าใจว่าพวกเขามองภาระงานและการแบ่งงานอย่างไร
- ปรึกษาผู้บริหารหรือหัวหน้าทีม: รับฟังเหตุผลในการแบ่งงานที่ผ่านมา
- จัดประชุมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น: ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมอย่างเปิดเผย
4.พัฒนาทางแก้ไขที่เป็นระบบ:
- สร้างระบบการแบ่งงานที่โปร่งใส: กำหนดเกณฑ์การแบ่งงานที่ชัดเจนและเป็นธรรม
- พัฒนาเครื่องมือติดตามภาระงาน: ใช้ซอฟต์แวร์บริหารโครงการที่ทุกคนสามารถเห็นงานของกันและกัน
- ปรับปรุงการสื่อสารในทีม: จัดประชุมทีมประจำสัปดาห์เพื่อพูดคุยเรื่องภาระงาน
- จัดระบบการหมุนเวียนงาน: เพื่อให้ทุกคนเข้าใจความยากง่ายของงานแต่ละประเภท
-พัฒนาทักษะของพนักงาน: จัดอบรมเพื่อลดความแตกต่างด้านทักษะที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ
5.ดำเนินการแก้ไขและติดตามผล:
- สื่อสารแผนการแก้ไขให้ทุกคนเข้าใจ: จัดประชุมทีมเพื่อชี้แจงกระบวนการใหม่
- กำหนดระยะเวลาทดลองใช้: เช่น 1-3 เดือน เพื่อประเมินผล
- รับฟังข้อเสนอแนะอย่างสม่ำเสมอ: จัดให้มีช่องทางในการแสดงความคิดเห็นทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยตัวตน
- ประเมินผลการเปลี่ยนแปลง: วัดความพึงพอใจของทีมและประสิทธิภาพการทำงาน
- ปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง: นำข้อเสนอแนะและผลการประเมินมาปรับปรุงกระบวนการ
กระบวนการคิดเชิงวิพากษ์นี้ช่วยให้เข้าใจปัญหาอย่างรอบด้าน พิจารณาข้อมูลจริงมากกว่าความรู้สึก และนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เป็นธรรมและยั่งยืนสำหรับทุกฝ่าย
สรุป
Critical Thinking เป็นทักษะที่จำเป็นมากในการทำงาน เพราะช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ลดความผิดพลาด และพัฒนาการตัดสินใจของเราให้ดีขึ้น การฝึกฝน Critical Thinking ไม่ได้ยาก เพียงแค่เริ่มต้นจากการตั้งคำถามให้ถูกต้อง วิเคราะห์อย่างมีเหตุผล และเปิดใจรับฟังมุมมองที่แตกต่างของคนอื่นๆด้วยค่ะ
อาจารย์เก๋-ศศิมา หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนทำงาน หรือหลายๆท่านที่อยากฝึกทักษะการคิดวิพากษ์นะคะ สำหรับ HR หรือองค์กรใดที่ต้องการหลักสูตร ทักษะการคิดวิพากษ์ (Critical thinking) สามารถติดต่อเก๋ได้โดยตรงที่ อีเมล์ sasimasuk.com@gmail.com หรือ Line ID : sasimasuk.com ค่ะ
Creative to Innovation เป็นพื้นที่แบ่งปันและแลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องกระบวนการและเทคนิคการคิดสร้างสรรค์และการพัฒนานวัตกรรม โดยถ่ายทอดจากประสบการณ์การทำงานด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ให้คำปรึกษา การสอนด้านการพัฒนานวัตกรรมของผู้เขียน (ศศิมา) ซึ่งเป็นนักพัฒนานวัตกรรมหรือนวัตกร (Innovator) และผันตัวมาแบ่งปัน อบรมสัมมนาให้คำปรึกษาด้านการพัฒนานวัตกรรม โดยการอบรมสัมมนาจะยึดหลัก 3Fs - Fun (สนุก) -Full (เต็มไปด้วยสาระ) - Friend (มิตรภาพการทำงานเป็น Team Work)
.................................
ศศิมา สุขสว่าง จบการศึกษาปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์จาก Dresden University of Technology (https://tu-dresden.de) ประเทศเยอรมนี ทำงานด้าน Research & Development Engineer และนักวิจัยมาโดยตลอด จนได้มาเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ของ THTI รวมเวลาทำงานด้านนวัตกรรมมามากกว่า 24 ปี และได้รับการอบรมด้านโค้ชทั้ง Mindfulness Coaching, Life Coach , Talent Coach และ NLP Coaching จากสถาบันสอนการโค้ชที่ได้รับการรับรองระดับสากล ปัจจุบันศศิมาเป็น วิทยากร ที่ปรึกษา และ Innovation Coach ที่มีความสุขและมุ่งมั่นที่แบ่งปันเรื่องพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างคุณค่าให้ผู้คน
...........................................
ติดตามข่าว เรื่องความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และนวัตกรรม หรือติดต่อวิทยากรอบรม In-House training หลักสูตรความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม (Product Development and Innovation) ได้ที่
ศศิมา สุขสว่าง (เก๋)
E-mail : sasimasuk.com@gmail.com
Website : www.sasimasuk.com
line ID : sasimasuk.com (ติดต่อทางนี้สะดวกสุดค่ะ)
Facebook : https://www.facebook.com/CreativetoInnovation
Tel. : 081-560-9994
วันที่ 16-03-2568
-
การคิด (Thinking skill) เป็นกิจกรรมที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลแก้ปัญหาตัดสินใจและสร้างแนวคิดใหม่ ๆ เรามักจะใช้ทักษะการคิดเมื่อพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ การจัดระเบียบข้อมู...
-
การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking)หมายถึง ความสามารถในการคิดจำแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของข้อมูลหรือปัญหาต่างๆออกเป็นประเด็นย่อยๆ ในหลายๆแง่มุม รวมทั้งการหาความสัมพันธ์ระหว่...
-
Design Thinkingเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการสร้างนวัตกรรมได้เป็นอย่างดี โดยเน้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมายเป็นจุดศูนย์กลาง (Human Centered) Design Thinkingเป็นกระบ...
-
การคิดเชิงระบบ ( Systems Thinking ) เป็นการคิดในภาพรวมที่เป็นระบบ และมีส่วนประกอบที่สัมพันธ์เชื่อมโยงจากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ เป็นการคิดอย่างมีเหตุมีผล เน้นการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดเพ...
-
เราอาจจะสงสัยว่า ทำไมบางคนเก่งเลข บางคนเก่งเรื่องของศิลปะ บางคนเก่งเรื่องทำอาหาร บางคนเก่งเรื่องกีฬา แตกต่างกันไป ปัจจัยอย่างหนึ่งที่สำคัญเรื่องนี้คือ การทำงานของสมองในแต่ด้านของคน...
-
การตัดสินใจ คือการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดจากทางเลือกหลายๆทางเลือก เพื่อให้องค์กรได้ประโยชน์สูงสุด และไม่มีความเสียหายผิดพลาดหรือมีน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การตัดสินใจนั้นเป็น...
-
การคิดวิเคราะห์ปัญหาด้วย Root Cause analysisหรือเรียกย่อๆว่า RCA หรือบางครั้งก็เรียกว่า แผนภูมิก้างปลา เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับก้างปลา เทคนิคนี้ ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาได้เป็นอย่าง...
-
Why-why diagram เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการคิดวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของปัญหา ร่วมกับ Root Cause analysis ค่ะบทความนี้เขียนโดยอ. ศศิมา สุขสว่าง www.sasimasuk.com เทคนิคนี้ มั...
-
เก๋ดูหนังเรื่อง 21 เกมเดิมพันอัจฉริยะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเบน แคมป์เบล เป็นนักศึกษา M.I.T. ขี้อายแต่ฉลาด กำลังหาทุนเรียนแพทย์ แล้วได้ไปเข้ากลุ่มกับศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติของ...
-
เก๋ได้ไปอ่านบทความหนึ่งที่น่าสนใจที่เขียนโดยคุณ RICHARD SELLERS เกี่ยวกับกลยุทธ์ป้องกันการแข่งขันที่ใช้ในเวลาที่เรามีคู่แข่งทางการตลาดขึ้นมาแบบ ทำสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ แบบเดียวกัน ห...
-
บทความนี้ อ.เก๋มาแบ่งปันเรื่อง การคิดวิพากษ์ (Critical thinking) ซึ่งเป็นทักษะการคิดหนึ่งใน 4 C คือ Communication, Collaboration, Creativity และ Critical Thinking ที่จำเป็นสำหรับค...
-
ในการทำงานในอนาคต คนทำงานต้องมีทักษะใหม่ๆ ซึ่งทักษะสำหรับการทำงานที่สำคัญคือ "การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)"หรือ “การคิดอย่างมีเหตุผลรอบด้าน” หรือภาษาไทย หลายท่านอาจจะใช้...
-
ตอนที่เก๋ทำงานประจำ(เก๋ทำงานเป็นพนักงานเงินเดือนมา 4 บริษัท ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง)แล้วได้โปรโมทเป็นหัวหน้าทีม จากนั้นก็เริ่มมีลูกน้องเข้าทีมจากคนสองคน จนเป็นหลายสิบคนนั้น...
-
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ อาจารย์เก๋เองก็เป็นคนที่สนใจ ทำงาน และสัมมนาเรื่องความคิดสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมมาตลอด 20 กว่าปีที่ทำงานในสายนี้ แต่ต้องยอมรับว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการเป...